ตัดกระเพาะอาหาร, บทความ

ตัดกระเพาะ ส่องกล้อง ทางเลือก”ลดน้ำหนัก” อย่างปลอดภัย

โรคอ้วน ปัญหาสุขภาพที่สำคัญทั่วโลก

ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังหลายชนิด ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคกรดไหลย้อน และโรคหัวใจ สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ค่ามาตรฐาน BMI และไม่สามารถลดน้ำหนักได้ด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การควบคุมอาหาร หรือการออกกำลังกาย การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร (Bariatric Surgery) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยม เพราะมีความปลอดภัย และสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

1.การผ่าตัดส่องกล้องลดขนาดกระเพาะแบบ Gastric Bypass  หรือที่เรียกว่า Roux-en-Y Gastric Bypass (RYGB)

เป็นการผ่าตัดลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพสูง โดยรวมการลดขนาดกระเพาะอาหารและการเปลี่ยนทางเดินของอาหารบางส่วน เพื่อลดปริมาณแคลอรี่และสารอาหารที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ วิธีนี้มักใช้กับผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนขั้นรุนแรงหรือผู้ที่เคยผ่าตัดกระเพาะมาแล้ว และมีโรคแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้อง เช่น โรคกรดไหลย้อนรุนแรง เบาหวานชนิดที่ 2 ความดันโลหิตสูง หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

หลักการทำงานของกระบวนการผ่าตัด

  1. ลดขนาดกระเพาะอาหาร : ศัลยแพทย์จะสร้างกระเพาะอาหารขนาดเล็ก(ประมาณ 30 มิลลิลิตร) จากกระเพาะอาหารเดิม โดยการตัดและเย็บเพื่อสร้างกระเปาะเล็ก ๆ นี้ แยกออกจากกระเพาะอาหารเดิมที่ใหญ่กว่า กระเพาะอาหารขนาดเล็กนี้สามารถบรรจุอาหารได้น้อยมาก ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอิ่มเร็วและรับประทานอาหารได้น้อยลง

  2. เปลี่ยนทางเดินของอาหาร : กระเพาะอาหารขนาดเล็กที่สร้างขึ้นใหม่จะถูกต่อเข้ากับส่วนของลำไส้เล็กโดยตรง (ส่วนเจจูนัม jejunum) โดยข้ามส่วนใหญ่ของกระเพาะอาหารเดิมและลำไส้เล็กส่วนต้น (ดูโอดีนัม duodenum )การเปลี่ยนทางเดินอาหารเช่นนี้ทำให้ ร่างกายดูดซึมแคลอรี่และสารอาหารได้น้อยลง ส่งผลให้น้ำหนักลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อดีของการผ่าตัดแบบ Gastric Bypass

การลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพ: โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ป่วยสามารถลดน้ำหนักได้ประมาณ 60-80% ของน้ำหนักส่วนเกิน

ลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน:เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 ความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดสูง และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

ความเสี่ยงและข้อควรระวัง

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้หลังจากการผ่าตัด: เช่น การติดเชื้อเลือดออก ภาวะลำไส้อุดตัน หรือการรั่วจาก ตำแหน่งที่เย็บ

ภาวะขาดสารอาหาร: เนื่องจากการเปลี่ยนทางเดินอาหาร ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ลดลง ผู้ป่วยอาจต้องรับประทานวิตามินและแร่ธาตุเสริม เช่น ธาตุเหล็ก แคลเซียม วิตามินบี 12 และวิตามินดี

ㆍ ภาวะ Dumping Syndrome: เป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่ออาหารเข้าสู่ลำไส้เล็กเร็วเกินไป ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ท้องเสีย เหงื่อออก และอ่อนเพลียซึ่งมักเกิดขึ้นหลังการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะแบบ Gastric Bypass เป็นวิธีการลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับผู้ป่วยที่มีโรคอ้วนขั้นรุนแรง โดยรวมการลดขนาดกระเพาะอาหารและการเปลี่ยนทางเดินของอาหารเพื่อจำกัดการรับแคลอรี่และสารอาหาร แม้ว่าจะมีข้อดีหลายประการตาม การตัดสินใจในการทำการผ่าตัดควรพิจารณาอย่างรอบคอบโดยการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและพิจารณาประสิทธิภาพและความเสี่ยงของแต่ละวิธีการอย่างละเอียดก่อนดำเนินการใด ๆ อย่างสม่ำเสมอ

การเตรียมความพร้อมก่อนการผ่าตัดเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วยมีการกลับมาสู่สภาวะสุขภาพที่ดีได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ดังนั้น การปฏิบัติตัวก่อนและหลังการผ่าตัดเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อย

เกณฑ์อะไรที่ใช้วัดภาวะโรคอ้วน

เมื่อต้องการตัดสินใจในการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะเพื่อรักษาโรคอ้วน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรับรู้เกณฑ์ที่เหมาะสมและเหตุผลที่ชัดเจนเพื่อประโยชน์ในระยะยาวของผู้ป่วย ตามที่ได้กล่าวไว้โดยสมาคมผ่าตัดโรคอ้วนและเมตาโบลิกแห่งประเทศไทย (Thailand Society for Metabolic & Bariatric Surgery : TSMBS) ที่กำหนดเกณฑ์ดังนี้:

ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) 

มากกว่าหรือเท่ากับ 37.5 กิโลกรัมต่อตารางเมตร (kg/m²) ถือว่าเข้าสู่กลุ่มที่ควรพิจารณาให้ผ่าตัดลดขนาดกระเพาะ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงต่อโรคร้ายแรงต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจเกิดจากภาวะโรคอ้วน

ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) อยู่ระหว่าง 32.5 – 37.4 กิโลกรัมต่อตารางเมตร (kg/m²) และมีโรคร่วม เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือโรคความดันโลหิตสูง ก็ควรพิจารณาให้ผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายแรงในอนาคต

ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) อยู่ระหว่าง 30 – 32.4 กิโลกรัมต่อตารางเมตร (kg/m²) และมีโรคร่วมทางเมตาโบลิก เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 บางประเภท ก็ควรพิจารณาให้ผ่าตัดกระเพาะเพื่อการควบคุมน้ำหนักและการดูแลสุขภาพที่ดีขึ้น

การตัดสินใจในการผ่าตัดกระเพาะไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเนื่องจากมีผลกระทบที่หลากหลายต่อร่างกายและสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย ดังนั้น การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้และการพิจารณาอุปกรณ์ทางการแพทย์และวิธีการที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยการตัดสินใจควรพิจารณาจากมุมมองทางการแพทย์และทางจิตวิทยาเช่นกัน เพื่อให้การตัดสินใจนั้นมีความเป็นระบบและมั่นใจในผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย

การเตรียมตัว / ก่อนการผ่าตัด   การเตรียมความพร้อมตรวจสุขภาพทั่วไปเพื่อประเมินสภาพร่างกายโดยระบุปัจจัยที่อาจมีผลต่อการผ่าตัด นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังจำเป็นต้องรับฟังและทำความเข้าใจถึงกระบวนการผ่าตัดและการปฏิบัติตัวทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด เพื่อให้มีความพร้อมในทุกขั้นตอนของการรักษา

การเตรียมตัว / หลังการผ่าตัด  ผู้ป่วยจะต้องปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของทีมแพทย์และพยาบาลอย่างเคร่งครัด เพื่อประสิทธิภาพในการฟื้นฟูสุขภาพ การผ่าตัดที่ใช้วิธีส่องกล้องแผลเล็กมักจะทำให้ผู้ป่วยมีระดับความเจ็บเล็กน้อยลง และสามารถกลับมาทำกิจวัตรประจำวันได้เร็วขึ้น ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงของภาวะลิ่มเลือดอุดตันในขา และส่งผลให้ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ในเวลาเร็วกว่า หลังจากการออกจากโรงพยาบาล ผู้ป่วยควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำทางการแพทย์อย่างเคร่งครัดและกลับมาตรวจสุขภาพตามนัดหมายที่กำหนด เพื่อให้การฟื้นฟูสุขภาพมีประสิทธิภาพและปลอดภัยอย่างแท้จริง

ลักษณะของแผลผ่าตัดกระเพาะอาหาร

  1. แผลเล็ก3 – 4 จุด: โดยทั่วไปจะมีแผลขนาดเล็กอยู่บนหน้าท้อง แต่ละแผลจะมีขนาดประมาณไม่เกิน 0.5 – 1.5 เชนติเมตร ซึ่งเป็นจุดที่แพทย์ใส่กล้องและเครื่องมือผ่าตัดเข้าไปแผลเหล่านี้มีขนาดเล็ก ทำให้ฟื้นตัวเร็วและลดความเจ็บปวดหลังการผ่าตัด

  2. การหายของแผล: แผลจะหายภายใน 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ป่วยและการดูแลรักษาแผล หลังการผ่าตัดแผลอาจทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ ไว้ที่หน้าท้องซึ่งมักจะค่อยจางลงเมื่อเวลาผ่านไป หรือสามารถทายา ‘ลดรอยแผลเป็น’ ตามคำแนะนำของแพทย์ โดยใช้ต่อเนื่องจนกว่าแผลจะหาย เป็นวิธีที่จะป้องกันการเกิดแผลเป็นได้ ด้วยคุณสมบัติในการรักษาเนื้อเยื่อและฟื้นฟูรอยแผลเป็น นอกจากนี้ ยาบางชนิดยังมาพร้อมกับส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และลดโอกาสเกิดรอยดำได้อีกด้วย

การดูแลแผลผ่าตัดกระเพาะอาหาร

  1. การรักษาความสะอาด: รักษาแผลให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการติดเชื้อเปลี่ยนผ้าปิดแผลตามคำแนะนำของแพทย์หรือตามที่แพทย์นัดหมายเพื่อทำแผล
  2. การหลีกเลี่ยงกิจกรรมหนัก:หลีกเลี่ยงการยกของหนัก การออกกำลังกายหนัก ๆ หรือกิจกรรมที่ต้องใช้กล้ามเนื้อหน้า
  3. ท้องในช่วง 4-6 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด เพื่อป้องกันแผลแยกหรือเกิดภาวะแทรกซ้อน
  4. การสังเกตอาการผิดปกติ:หากมีอาการบวมแดง เจ็บปวดมากขึ้น มีหนองหรือมีน้ำไหลออกจากแผล ควรรีบพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ หากมีไข้สูงหรือรู้สึกไม่สบาย ควรรีบปรึกษาแพทย์เช่นกัน
  5. การรับประทานอาหาร:ในช่วงแรกหลังผ่าตัด ควรรับประทานอาหารอ่อน เช่น น้ำซุป หรืออาหารที่ย่อยง่าย และค่อย ๆ ปรับเพิ่มอาหารให้มีความจัดจ้านขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์หรือโภชนากร หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง หรืออาหารที่มีแก๊สมาก ในช่วงแรกหลังผ่าตัด เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และช่วยให้แผลในอาหารหายเร็วขึ้น

การติดตามผลและการดูแลระยะยาว

นัดติดตามผล: ผู้ป่วยควรไปตามนัดติดตามผลกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินการฟื้นตัวของร่างกายและการหายของแผล

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต: หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยต้องปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย เพื่อให้สามารถรักษาน้ำหนักและสุขภาพได้ในระยะยาวแผลผ่าตัดกระเพาะอาหารมีขนาดเล็กและมักหายเร็ว หากได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับมาทำกิจกรรมตามปกติได้ในระยะเวลาไม่นาน โดยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อให้ผลการรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย