ตัดกระเพาะ ส่องกล้อง ทางเลือก``ลดน้ำหนัก`` อย่างปลอดภัย
โรคอ้วน ปัญหาสุขภาพที่สำคัญทั่วโลก ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังหลายชนิด ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคกรดไหลย้อน และโรคหัวใจ สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ค่ามาตรฐาน BMI และไม่สามารถลดน้ำหนักได้ด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การควบคุมอาหาร หรือการออกกำลังกาย การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร (Bariatric Surgery) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยม เพราะมีความปลอดภัย และสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร ที่ได้รับความนิยม จะมี 2 วิธีการด้วยกัน คือ
- การผ่าตัดส่องกล้องลดขนาดกระเพาะแบบสลีฟ (Lap. sleeve gastrectomy)
คือ การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารเพื่อช่วยในการลดน้ำหนัก โดยจะตัดเอาส่วนของกระเพาะอาหารที่มีขนาดใหญ่และส่วนที่หลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นความหิวออกไป เหลือเพียงกระเพาะอาหารส่วนที่มีลักษณะเป็นหลอดยาวคล้ายแขนเสื้อ (sleeve) ที่มีขนาดเล็กกว่าเดิมมาก ประมาณ 70 – 80% ของกระเพาะอาหารทั้งหมดจะถูกตัดออก ทำให้เหลือความจุประมาณ 150 CC อาหารได้น้อยลง และทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอิ่มเร็วขึ้นแม้จะรับประทานเพียงเล็กน้อย
หลักการทำงานของกระบวนการผ่าตัด
-
ลดปริมาณอาหารที่บริโภค: กระเพาะอาหารที่เล็กลงช่วยให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารในปริมาณที่น้อยลง และรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น
-
ลดความหิว: เนื่องจากการผ่าตัดจะตัดส่วนของกระเพาะที่ผลิตฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ออกไป ทำให้ลดความรู้สึกหิว และช่วยในการควบคุมความอยากอาหาร
-
ไม่เปลี่ยนเส้นทางการย่อยอาหาร: การผ่าตัดเทคนิค (Sleeve Gastrectomy) ไม่ได้เปลี่ยนเส้นทางของลำไส้หรือกระบวนการย่อยอาหารแต่อย่างใด ทำให้การดูดซึมสารอาหารยังคงเป็นไปตามปกติ ลดความเสี่ยงของการขาดสารอาหารที่อาจเกิดขึ้นหลังจากการผ่าตัด
-
ข้อดีของการผ่าตัดแบบ (Sleeve Gastrectomy)
ㆍลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพ: ผู้ป่วยสามารถลดน้ำหนักได้ถึง 40 – 60% ของน้ำหนักส่วนเกิน
ㆍลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน: เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ความดันโลหิตสูง และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
ขั้นตอนการผ่าตัดง่ายกว่าการผ่าตัดแบบเปลี่ยนทางเดินอาหาร (Gastric Bypass)
ทำให้มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่าความเสี่ยงและข้อควรระวัง:
ความเสี่ยงและข้อควรระวัง
ㆍภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้หลังจากการผ่าตัด
เช่น การติดเชื้อเลือดออก หรือการรั่วของกระเพาะอาหารหลังการผ่าตัด
ㆍอาการกรดไหลย้อน: การผ่าตัด (Sleeve Gastrectomy) อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดกรดไหลย้อนในบางกรณี
ㆍการปรับตัวในการกิน: หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะการรับประทานอาหารที่จุกจิก และหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดอาการไม่สบายท้อง
การลดขนาดกระเพาะแบบ Sleeve Gastrectomy เป็นวิธีการลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสำหรับผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนขั้นรุนแรงและไม่สามารถลดน้ำหนักได้ด้วยวิธีอื่น การตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อประเมินความเหมาะสมและเตรียมความพร้อมก่อนการผ่าตัด
การผ่าตัดส่องกล้องลดขนาดกระเพาะแบบ Gastric Bypass หรือที่เรียกว่า Roux-en-Y Gastric Bypass (RYGB)
ความเสี่ยงและข้อควรระวัง:
ㆍภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้หลังจากการผ่าตัด: เช่น การติดเชื้อเลือดออก ภาวะลำไส้อุดตัน หรือการรั่วจาก
ตำแหน่งที่เย็บ
ㆍภาวะขาดสารอาหาร: เนื่องจากการเปลี่ยนทางเดินอาหาร ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ลดลง ผู้ป่วยอาจต้องรับประทานวิตามินและแร่ธาตุเสริม เช่น ธาตุเหล็ก แคลเซียม วิตามินบี 12 และวิตามินดี
ㆍ ภาวะ Dumping Syndrome: เป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่ออาหารเข้าสู่ลำไส้เล็กเร็วเกินไป ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ท้องเสีย เหงื่อออก และอ่อนเพลียซึ่งมักเกิดขึ้นหลังการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง
การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะแบบ Gastric Bypass เป็นวิธีการลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับผู้ป่วยที่มีโรคอ้วนขั้นรุนแรง โดยรวมการลดขนาดกระเพาะอาหารและการเปลี่ยนทางเดินของอาหารเพื่อจำกัดการรับแคลอรี่และสารอาหาร แม้ว่าจะมีข้อดีหลายประการตาม การตัดสินใจในการทำการผ่าตัดควรพิจารณาอย่างรอบคอบโดยการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและพิจารณาประสิทธิภาพและความเสี่ยงของแต่ละวิธีการอย่างละเอียดก่อนดำเนินการใด ๆ อย่างสม่ำเสมอ
การเตรียมความพร้อมก่อนการผ่าตัดเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วยมีการกลับมาสู่สภาวะสุขภาพที่ดีได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ดังนั้น การปฏิบัติตัวก่อนและหลังการผ่าตัดเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อย
เกณฑ์อะไรที่ใช้วัดภาวะโรคอ้วน
เมื่อต้องการตัดสินใจในการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะเพื่อรักษาโรคอ้วน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรับรู้เกณฑ์ที่เหมาะสมและเหตุผลที่ชัดเจนเพื่อประโยชน์ในระยะยาวของผู้ป่วย ตามที่ได้กล่าวไว้โดยสมาคมผ่าตัดโรคอ้วนและเมตาโบลิกแห่งประเทศไทย (Thailand Society for Metabolic & Bariatric Surgery : TSMBS) ที่กำหนดเกณฑ์ดังนี้:
ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) มากกว่าหรือเท่ากับ 37.5 กิโลกรัมต่อตารางเมตร (kg/m²) ถือว่าเข้าสู่กลุ่มที่ควรพิจารณาให้ผ่าตัดลดขนาดกระเพาะ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงต่อโรคร้ายแรงต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจเกิดจากภาวะโรคอ้วน
ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) อยู่ระหว่าง 32.5 – 37.4 กิโลกรัมต่อตารางเมตร (kg/m²) และมีโรคร่วม เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือโรคความดันโลหิตสูง ก็ควรพิจารณาให้ผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายแรงในอนาคต
ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) อยู่ระหว่าง 30 – 32.4 กิโลกรัมต่อตารางเมตร (kg/m²) และมีโรคร่วมทางเมตาโบลิก เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 บางประเภท ก็ควรพิจารณาให้ผ่าตัดกระเพาะเพื่อการควบคุมน้ำหนักและการดูแลสุขภาพที่ดีขึ้น
การตัดสินใจในการผ่าตัดกระเพาะไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเนื่องจากมีผลกระทบที่หลากหลายต่อร่างกายและสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย ดังนั้น การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้และการพิจารณาอุปกรณ์ทางการแพทย์และวิธีการที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยการตัดสินใจควรพิจารณาจากมุมมองทางการแพทย์และทางจิตวิทยาเช่นกัน เพื่อให้การตัดสินใจนั้นมีความเป็นระบบและมั่นใจในผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัด
การเตรียมความพร้อมตรวจสุขภาพทั่วไปเพื่อประเมินสภาพร่างกายโดยระบุปัจจัยที่อาจมีผลต่อการผ่าตัด นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังจำเป็นต้องรับฟังและทำความเข้าใจถึงกระบวนการผ่าตัดและการปฏิบัติตัวทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด เพื่อให้มีความพร้อมในทุกขั้นตอนของการรักษา
การเตรียมตัวหลังการผ่าตัด
ผู้ป่วยจะต้องปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของทีมแพทย์และพยาบาลอย่างเคร่งครัด เพื่อประสิทธิภาพในการฟื้นฟูสุขภาพ การผ่าตัดที่ใช้วิธีส่องกล้องแผลเล็กมักจะทำให้ผู้ป่วยมีระดับความเจ็บเล็กน้อยลง และสามารถกลับมาทำกิจวัตรประจำวันได้เร็วขึ้น ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงของภาวะลิ่มเลือดอุดตันในขา และส่งผลให้ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ในเวลาเร็วกว่า หลังจากการออกจากโรงพยาบาล ผู้ป่วยควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำทางการแพทย์อย่างเคร่งครัดและกลับมาตรวจสุขภาพตามนัดหมายที่กำหนด เพื่อให้การฟื้นฟูสุขภาพมีประสิทธิภาพและปลอดภัยอย่างแท้จริง
ลักษณะของแผลผ่าตัดกระเพาะอาหาร:
-
-
-
แผลเล็ก3 – 4 จุด: โดยทั่วไปจะมีแผลขนาดเล็กอยู่บนหน้าท้อง แต่ละแผลจะมีขนาดประมาณไม่เกิน 0.5 – 1.5 เชนติเมตร ซึ่งเป็นจุดที่แพทย์ใส่กล้องและเครื่องมือผ่าตัดเข้าไปแผลเหล่านี้มีขนาดเล็ก ทำให้ฟื้นตัวเร็วและลดความเจ็บปวดหลังการผ่าตัด
-
การหายของแผล: แผลจะหายภายใน 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ป่วยและการดูแลรักษาแผล หลังการผ่าตัดแผลอาจทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ ไว้ที่หน้าท้องซึ่งมักจะค่อยจางลงเมื่อเวลาผ่านไป หรือสามารถทายา ‘ลดรอยแผลเป็น’ ตามคำแนะนำของแพทย์ โดยใช้ต่อเนื่องจนกว่าแผลจะหาย เป็นวิธีที่จะป้องกันการเกิดแผลเป็นได้ ด้วยคุณสมบัติในการรักษาเนื้อเยื่อและฟื้นฟูรอยแผลเป็น นอกจากนี้ ยาบางชนิดยังมาพร้อมกับส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และลดโอกาสเกิดรอยดำได้อีกด้วย
-
-
การดูแลแผลผ่าตัดกระเพาะอาหาร
- การรักษาความสะอาด: รักษาแผลให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการติดเชื้อเปลี่ยนผ้าปิดแผลตามคำแนะนำของแพทย์หรือตามที่แพทย์นัดหมายเพื่อทำแผล
- การหลีกเลี่ยงกิจกรรมหนัก:หลีกเลี่ยงการยกของหนัก การออกกำลังกายหนัก ๆ หรือกิจกรรมที่ต้องใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องในช่วง 4-6 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด เพื่อป้องกันแผลแยกหรือเกิดภาวะแทรกซ้อน
- การสังเกตอาการผิดปกติ:หากมีอาการบวมแดง เจ็บปวดมากขึ้น มีหนองหรือมีน้ำไหลออกจากแผล ควรรีบพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ หากมีไข้สูงหรือรู้สึกไม่สบาย ควรรีบปรึกษาแพทย์เช่นกัน
- การรับประทานอาหาร:ในช่วงแรกหลังผ่าตัด ควรรับประทานอาหารอ่อน เช่น น้ำซุป หรืออาหารที่ย่อยง่าย และค่อย ๆ ปรับเพิ่มอาหารให้มีความจัดจ้านขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์หรือโภชนากร หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง หรืออาหารที่มีแก๊สมาก ในช่วงแรกหลังผ่าตัด เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และช่วยให้แผลในอาหารหายเร็วขึ้น
การติดตามผลและการดูแลระยะยาว:
ㆍ นัดติดตามผล: ผู้ป่วยควรไปตามนัดติดตามผลกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินการฟื้นตัวของร่างกายและการหายของแผล
ㆍปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต: หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยต้องปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย เพื่อให้สามารถรักษาน้ำหนักและสุขภาพได้ในระยะยาวแผลผ่าตัดกระเพาะอาหารมีขนาดเล็กและมักหายเร็ว หากได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับมาทำกิจกรรมตามปกติได้ในระยะเวลาไม่นาน โดยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อให้ผลการรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย